“สไมล์ ภาลฎา” เรียนรู้จากสิ่งที่เคยสูญเสีย ความสุขง่ายๆ หลังฝ่ามรสุมร้ายจนคิดลาโลก

เป็นศิลปินเสียงใสและนักแสดงสาวมากความสามารถอีกหนึ่งคนที่ฝีมือหาตัวจับยาก สำหรับสาว สไมล์-ภาลฎา ฐิตะวชิระ สาวน้อยที่แจ้งเกิดจากเวทีประกวดร้องเพลงคุณภาพ เดอะสตาร์ ซีซั่น 8 และตอนนี้เจ้าตัวเติบโตในวงการบันเทิง งานล้นมือไม่ขาดสาย และล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งโชว์ฝีไม้ลายมือในละครเรื่องใหม่ “ภูผาผีคุ้ม” กับบทสาวน้อยชาวป่าแก่นแก้ว ออนแอร์ทางช่อง วัน 31 ถูกอกถูกใจแฟนละครจนติดกันงอมแงม

เลยต้องขอคว้าตัวสาวสวยคนนี้มานั่งพูดคุยกันถึงผลงานชิ้นล่าสุด พร้อมกับพูดคุยถึงชีวิตหลังผ่านมรสุมหนักที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตเมื่อหลายปีก่อนจนต้องหนีหายจากกองละคร และครอบครัวไปบวช หายหน้าจากวงการไปกว่า 2 ปี ทั้งยังมีความคิดว่าไม่อยากอยู่บนโลกนี้ อะไรที่ทำให้เธอกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง รวมทั้งความรักสุดหวาน เรียบง่ายแต่ลงตัวกับ กั้ง-กรณ์ ศิริสรณ์ จะหวานแค่ไหนไปชมกันเลย

เรื่อง “ภูผาผีคุ้ม” เรารับบทเป็นใคร ยังไงบ้าง?

“เรื่องนี้สไมล์รับบทเป็น “เดือน” ค่ะ ตัวละครตัวนี้เป็นแหมือนพื่อนร่วมทางไปกับผาพระเอกของเรื่อง เดือนเขาจะเป็นคนซนๆ แก่นแก้วตัวเล็กแต่ใจกล้ามาก ในเรื่องเขาจะมีปม มีอุปสรรคของชีวิต แม่ของเขาป่วย เดือนก็เลยพยายามดูแลแม่ เพราะเขามีกันแค่สองคน เรื่องมันเกิดเพราะเดือนชอบเข้าไปหายาให้แม่ในหุบเขาหมอก เลยได้เจอผา และได้เจออันตรายต่างๆ แต่เราช่วยเขาออกมาได้ พอเราออกจากป่ามาได้ชาวบ้านเขาเลยมองว่าเรามีของ ชาวบ้านเลยยกให้เราเป็นเจ้าแม่ เดือนเองที่ก็ต้องการเงินมาดูแลแม่อยู่แล้วก็เลยทำ”

“ตัวละครตัวนี้เขาเริ่มมาจากเจตนาที่ดี แต่เขาอาจจะเลือกสิ่งที่ผิดไปนิดนึง จนมาเจอพระเอกที่คอยเตือนสติว่าจริงๆ เดือนเป็นคนดีนะ แค่เลือกทำสิ่งที่ผิดไปเท่านั้นเอง ผาเขาก็ขอให้เดือนนำทางไปเมืองสุบรรณ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องสนุกมากมายเลย”

การถ่ายทำผจญภัยแค่ไหน ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเราต้องไปเจออะไรมาบ้าง?

“การถ่ายทำผจญภัยมากค่ะ เพราะเส้นเรื่องเกิดในป่า โลเคชั่นเลยมีแต่ป่า แต่ถ้าเราป่าซ้ำๆ มันก็จะไม่สมจริงว่าเป็นการเดินทาง การถ่ายทำเลยต้องเปลี่ยนป่าไปเรื่อยๆ ในจังหวัดต่างๆ  ในซีนเราก็ต้องเดินไปด้วย พูดไปด้วย ทางก็ชันมาก เหนื่อยมากค่ะ แล้วมีฉากที่ต้องไปถ่ายที่ผาหิน ไม่มีต้นไม้เลยสักต้น ถ่ายกลางวันร้อนมาก ยอมรับเลยว่าโหดจริงค่ะ”

สไมล์มองว่าเรื่องนี้น่าสนใจยังไงบ้าง?

“เรื่องนี้สไมล์ว่าน่าสนใจที่เรื่องของความสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของคนกับคน แต่มีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผีด้วยที่เขามีความเชื่อมโยงกันแม้จะสัมผัสตัวกันไม่ได้ รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผาและเดือนที่มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น แต่ตัวพวกเขาไม่รู้จักว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร เป็นการเรียนรู้ความรู้สึกของตัวเองของแต่ละคนด้วยค่ะ”

ทำงานเรื่องนี้อะไรที่เราว่ายากที่สุด?

“ยากสุดสำหรับสไมล์ไม่ใช่ตัวบทค่ะ มันคือ เรื่องของการผจญภัยนี่แหละ (หัวเราะ) เหมือนเราคิดว่าเราจะรู้จักตัวเองดีว่าเราเป็นคนลุยๆ วันที่ผู้กำกับถามว่าสไมล์เล่นไหม เรื่องนี้ต้องลุยนะ เราก็ตอบไปเลยว่า โห! เราเป็นคนลุยๆ อยู่แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว หืม! หนักเอาการเลย รวมทั้งต้องเจอกับสรรพสิ่งต่างๆ ในป่า แบบมาทุกตัวเลยนะ กิ้งกือ ตะเข็บ ตะขาบ มาทุกอย่างที่ในป่ามียกเว้นเสืออ่ะค่ะ (หัวเราะ) บางซีนต้องนอนกับพื้นฝนตกๆ พื้นแฉะๆ ในป่า ก็หนักอยู่ค่ะ นั่นคืออุปสรรคสำหรับสไมล์ค่ะ”

สไมล์ ในบท เดือน

ตื่นเต้นกับผลงานชิ้นนี้แค่ไหน?

“ตื่นเต้นมากค่ะ อย่างเรื่องซีจี พี่คนเขียนซีจีใช้เวลา 4 เดือนเลยนะคะสำหรับเรื่องนี้ ส่วนเนื้อเรื่องเองสไมล์มองว่าสนุกและน่าติดตาม ถ้านับตั้งแต่วันเขียนบทจนถ่ายทำจบใช้เวลาถึง 3 ปีเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเป็นละครที่เตรียมตัวกันนาน ถ่ายทำนาน ค่อนข้างปราณีต ละเอียด ทุกคนทำอย่างเต็มที่เลย ก็หวังว่าทุกคนจะชอบ แต่เท่าที่ดูฟีดแบคมากผู้ชมก็ชมในหลายๆ เรื่อง ก็ดีใจ รู้สึกดีค่ะ”

นอกจากเรื่องนี้มีผลงานอีกเพียบเลยใช่ไหม?

“นอกจากเรื่องนี้ก็มีซิทคอมของวีทีวี ที่น่าจะออนแอร์เร็วๆ นี้ แล้วก็มีซีรีส์ทางช่องจีเอ็มเอ็ม25 มีละครที่กำลังจะถ่ายทำอีกเรื่องนึงค่ะ รวมทั้งปีหน้าก็จะมีซีรีส์เกี่ยวกับการร้องเพลงด้วย มีละครกับช่องวันอีกเรื่องนึงที่ต้องอุบไว้ก่อนค่ะ ที่เห็นว่าเยอะ คือ เหมือนเอามารวมกันเพราะร่นมาเพราะติดโควิดน่ะค่ะ ตอนนี้ก็เลยเรียกว่าหนักมากเลย”

งานขนาดนี้ไม่ต้องพักผ่อนกันเลยใช่ไหม?

“ไม่ได้พักเลย เป็นหนี้แล้วด้วยค่ะ สไมล์เพิ่งกู้ซื้อบ้านได้ด้วย (หัวเราะ)”

เล่าเรื่องบ้านหลังใหม่ให้ฟังหน่อย?

“ก็กำลังจะย้ายเข้าอยู่ค่ะ เป็นบ้านหลังเล็กๆ เล็กจริงๆ ราคาเกือบๆ สิบล้าน ก็เป็นอีกก้าวหนึ่งของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบค่ะ เพราะทุกวันนี้เช่าคอนโดอยู่ เช่ามา 3 ปีแล้วในราคาที่เราก็รู้สึกว่าผ่อนบ้านได้ ก็เลยตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องขยับขยาย ตอนนี้ก็ต้องพยายามจัดการเรื่องเวลาการทำงานให้ดี ก่อนจะซื้อก็ตัดสินใจอยู่นานเหมือนกันเพราะไม่อยากมีภาระ แต่การเช่าคอนโดก็หนักพอๆ กับผ่อนบ้านก็เลย โอเค ตัดสินใจสู้หน่อย”

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนเรามีเรื่องราวในชีวิตเยอะ ตอนนี้การใช้ชีวิตลงตัวขึ้นหรือยัง?

“ดีขึ้นนะคะ เหมือนได้เรียนรู้กับตัวเองมากขึ้น เข้าใจว่าหลายๆ อย่างในชีวิตเราก็ไม่สามารถที่จะไปควบคุมอะไรได้ บางเรื่องปล่อยๆ ไป แล้วกลับมาใช้ชีวิตง่ายๆ ทำงานที่เราได้รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด ด้วยความที่เราเคยออกจากตรงนี้ไปแล้วครั้งนึง พอได้กลับเข้ามามันทำให้สไมล์รู้คุณค่าของสิ่งที่เคยเสียไปในช่วงหนึ่งของชีวิต จริงๆ สไมล์รักงาน รักการแสดงมาก ในวันที่กลับเข้ามาคนเขาจ้างสไมล์มาเป็นเอ็กซ์ตร้าด้วยซ้ำ

 สไมล์ ภาลฎา

พอเราได้กลับมายืนตรงนี้ก็เลยพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีและเต็มที่ที่สุดค่ะ  ทางผู้ใหญ่เองเขาก็บอกต่อกัน เป็นความรู้สึกที่เราก็รู้สึกดีใจ เพราะฉะนั้นวันนี้สำหรับสไมล์ ทั้งเรื่องงาน เรื่องการขยับขยายชีวิตต่างๆ ยังไม่ได้ลงตัวถึงขั้นสบาย แต่เป็นการขยับขยายที่เราก็มองว่าพอเหมาะพอควร ถือว่าเป็นช่วงสร้าง อาจจะต้องอดทนหน่อย แต่ก็ยังมีจุดที่สบายใจเล็กๆ อยู่ค่ะ”

ปัญหาต่างๆ ตอนนี้คือเคลียร์หมดแล้ว?

“ใช่ค่ะ ทุกอย่างเคลียร์ไปหมดแล้ว คิดว่าทุกๆ คนก็มีปัญหาของตัวเองเยอะเหมือนกันนั่นแหละ ในโลกนี้ยังมีคนที่เจออะไรหนักกว่าเราอีกเยอะหลายเท่า สำหรับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าเราสามารถวางใจได้ครึ่งนึง มันจะช่วยให้ใจเราเบาได้เยอะเหมือนกันนะคะ ส่วนอีกครึ่งที่เราต้องรับไว้เพราะเราไม่สามารถไปควบคุมอะไรได้ เราทำได้แค่จัดการกับมันไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้สไมล์เองก็ยังคงจัดการไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแอคซิเดนทางการเงิน ปัญหาโน่น นี่นั่น ที่เข้ามาแบบเราได้ตั้งตัว อาจจะมีล้มไปบ้าง แต่เราก็ค่อยๆ จัดการแก้ปัญหาไป ให้มันกลับมาอยู่ในร่องในรอยได้”

จากมรสุมที่เกิดขึ้นหนักจนเอ่ยปากว่าไม่อยากอยู่บนโลกแล้ว  อะไรที่ทำให้เราลุกขึ้นมาสู้?

“ต้องพูดว่าเป็นโชคดีของสไมล์มากๆ ที่ในช่วงเวลานั้น ช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตกลับได้เจอแต่คนดีๆ ในชีวิต คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ประหลาดเหมือนกัน เชื่อไหมคะว่าไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหนก็มีแต่คนคอยดูแล เช่น ตอนอยู่เชียงใหม่ไปนวด ได้เจอคุณป้าที่ทำงานที่นั่น เขาก็ถามว่าหนูอยู่ที่ไหน รอป้าแป๊บนึง ป้าจะเลิกงานแล้ว ไม่อยากให้หนูกลับคนเดียว เดี๋ยวป้าไปส่ง อะไรแบบนี้ค่ะ เจอคนแบบนี้เยอะมาก ทำให้สไมล์รู้ว่า จริงๆ แล้วโลกนี้มีคนดีๆ และพลังงานบวกอีกเยอะมาก เลยทำให้สไมล์กลับมาสู้อีกครั้ง และบอกตัวเองว่า จริงๆ เราเองยังมีอะไรอีกหลายอย่างมากที่ถือว่าเป็นข้อดีในชีวิต ส่วนข้อไม่ดีต่างๆ ต้องใช้เวลาในการปรับ

ซึ่ง ณ วันนี้สไมล์กับครอบครัวเราดีขึ้นกันมากๆ มันเปลี่ยนได้จริงๆ สไมล์ก็เลยคิดว่า สิ่งที่เราคิดว่าจะเปลี่ยนไม่ได้เลย มันกลับกลายเป็นว่า วันนึงถ้ามันจะเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนของมันเอง ครอบครัวของสไมล์เองทุกคนต่างใจเย็นลงและเสียสละให้กันมากขึ้นทุกๆ วัน ทุกอย่างก็เลยลงตัวค่ะ เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาแต่เมื่อเราทุกข์เราก็โทรหากัน เจอกันในวันที่เราต้องการความสุขร่วมกันแบบนี้มากกว่าค่ะ”

สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น?

“ใช่ค่ะ สไมล์ว่าคนเราเหมือนถุงเก็บความรู้สึก เมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้รับความรู้สึกรอบตัว ไม่ว่าจะจากตัวเอง หรือ จากใครก็ตามที่เราเจอ ถ้ายิ่งเราเอาแต่ความรู้สึกลบๆ มาถ่วงตัวเอง มันก็จะยิ่งทำให้เราตกลงๆ วันนึงก็จะตกลงบนพื้นและจะแตกในที่สุด สู้เราทำให้ตัวเองตัวเบาๆ ไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ถ่วงตัวเองให้ดิ่งลง และคิดว่าสมมติวันนี้เราเจอปัญหาแล้วเราลองใจเย็นหน่อยหลายๆ อย่างมันอาจจะคลี่คลายได้”

ตอนนั้นด้วยวัย ด้วยอะไรหลายๆ อย่างเราก็เต็มที่ที่สุดแล้วถูกไหม?

“มันก็มีจุดที่ต้องเรียนรู้นะ อย่างตอนนั้นเรารับงานอยู่ แต่เราออกไปแบบนั้นมันไม่ดี แล้ว ณ วันนี้เรากลับมาได้โอกาสอีกครั้งมันคือที่สุดแล้ว เขาให้อภัยเรา ก็เลยรู้สึกว่าเป็นบทเรียนนึงของชีวิต แต่ตอนนั้นเราก็เจอปัญหาแบบนั้นจริงๆ เราพยายามจะแก้ไขจริงๆ แต่มันออกมาเป็นแบบนั้นเราก็ต้องเรียนรู้ตัวเองไปค่ะ”

สไมล์ ภาลฎา

เรียกได้ว่าเหมือนได้ชีวิตกลับมา?

“ใช่ ตอนนั้นมันเซไป จากเล่นละครเป็นคู่สอง อยู่ๆ เราหายไปสองปี ในวันที่เราต้องการให้เขาเอาเรากลับไปทำงาน คนที่โทรมาหาบอกว่าให้เราไปเล่นนะ ตอนนั้นดีใจมาก ก็เลยถามเขาว่ามีบทพูดไหม เขาบอกว่า ไม่มี ให้เราไปเล่นเป็นนักเรียนในห้อง ตอนนั้นรู้ตัวเองเลยว่าเราถอยมาไกลมากเลย และเราเป็นคนถอยมาเองด้วย ตั้งแต่วันนั้นเลยลดน้ำหนัก ทำโปรไฟล์ส่งไปที่ต่างๆ จนวันนึงมีคนเรียกไปแคส และได้กลับมาเป็นนางเอกเรื่องแรกค่ะ”

อย่างเรื่องคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ก็โดนหนัก แต่สามารถปล่อยวางได้แล้ว?

“ใช่ค่ะ ปล่อยวางได้มากขึ้น ทุกวันนี้ถามว่ามีไหมก็มี เพราะเราอยู่ในจุดที่ต้องมีอยู่แล้ว เราต้องยอมรับว่าโลกนี้ถูกสร้างมาให้มีปุ่มไลก์ และปุ่มดีสไลก์ คนสามารถพูดอะไรก็ได้โดยไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเอง สิ่งนี้สร้างมาเอื้ออำนวยให้เราเป็นเหมือนกระโถน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำตัวเป็นกระโถนนะ เราก็เลยไม่สนใจ ถ้ามีคนเข้ามาวิจารณ์เราก็นำมาคิดว่าจริงไหม ถ้าเราเป็นจริงเราเอามาปรับแต่ถ้าเขาทำเพื่อแค่ให้รู้สึกสนุก คนพวกนี้พูดออกมาเดี๋ยวก็ลืม แต่เราที่เป็นคนรับไม่ควรเก็บมาเป็นแผลในใจ พูดเหมือนง่ายนะคะ เวลาทำก็ยากแหละ”

เมื่อก่อนโดนหนักเรื่องอะไร?

“ตอนอยู่บ้านเดอะสตาร์ โดนแอนตี้ คิดดูสิค่ะ มีคนทำเพจแอนตี้แล้วคนกดไลก์แปดหมื่นคนในยุค พ.ศ. 2555 มันขนาดไหน (หัวเราะ) ซึ่งในนั้นมันเป็นประเด็นแบบไม่เป็นเรื่องเลย เช่น เขาไปแต่งเรื่องกันว่าเราขโมยของสหกรณ์โรงเรียน บอกว่าเราเบะปากใส่พี่โดม ตอนพี่เขาผ่านเข้ารอบ คือ มันจะเป็นไปได้เหรอคะ (หัวเราะ)”

มาถึงตอนนี้มีเป้าหมายอะไรที่วางไว้แล้วอยากทำให้สำเร็จ?

“เป้าหมายจริงๆ คือ อยากทำธุรกิจ ให้ธุรกิจเลี้ยงเราได้ เพื่อที่เราจะได้มาเล่นละครโดยที่ไม่ต้องคิดเรื่องเงิน บางทีบางงานก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนที่สูงเราอาจจะไม่สามารถรับได้เพราะก็มีคนตัดสินใจหลายคน บางทีเราอยากจะรับเพราะเป็นงานที่เรามองเห็นถึงประโยชน์ของคนที่จะได้ดู แต่เรารับไม่ได้ด้วยเพราะมันมีเรทราคา เรทกลางอยู่ ก็เลยอยากทำงานโดยที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องเงิน อยากให้งานในวงการ การร้องเพลง การแสดงเป็นงานอาร์ต ไม่ใช่งานที่จะต้องมาทำเพื่อหล่อเลี้ยงชีพขนาดนั้น

ก็เลยอยากจะวางแผนตรงนี้ไว้ พอมีบ้านก็อยากจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองที่ชื่อแบรนด์ checkout ลองทำการตลาด ลองขายและเรียนรู้ดูเรื่อยๆ อยากให้วันนึงธุรกิจเลี้ยงเราได้ เพื่อเราจะได้มาทำงานในวงการอย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดเรื่องเงิน เช่น เขาอยากให้ไปร้องเพลงที่มีผู้สูงอายุ เราก็ไปไม่ต้องคิดเงินอะไรประมาณนั้นค่ะ”

มาเรื่องหวานๆ กันบ้าง ความรักกับ กั้ง กรณ์ เป็นยังไงบ้าง?

“ตอนนี้น่าจะสองปีแล้วมั้งคะ (หัวเราะ) เป็นความรักง่ายๆ ที่รู้สึกว่าเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปที่สุดแล้ว ด้วยเมื่อก่อนที่เรามีความรักตอนอายุยังน้อย เราก็จะใช้แค่ความรัก คิดแค่ว่าฉันรัก แต่พอมาคบพี่กั้งเรารู้สึกว่ามันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ เราเรียนรู้กันไปโดยไม่มีใครคาดคั้นหรือคาดหวังอะไรจากใคร เราช่วยกัน ดูแลกัน”

เขาคอยซัพพอร์ตเราตลอดเวลาเลยใช่ไหม?

“ใช่ค่ะ สไมล์โชคดีที่เจอเขา เขาเป็นคนที่เราเชื่อว่าผู้หญิงหลายๆ คนถ้าเจอคนอย่างพี่เขายังไงก็ต้องรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ตั้งแต่ที่รู้จักกันหรืออยู่ในความสัมพันธ์กันมา ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาทำพลาด มีแต่ยิ่งทำให้เรารู้สึกปลอดภัย สบายใจในทุกวัน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยขอว่าจะต้องอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นคนชิลล์ๆ ไม่ดูโทรศัพท์ แต่เขาไม่เคยทำให้ไม่สบายใจ และไม่หวือหวาด้วย บางคนมาแบบรถไฟเหาะนึกออกไหมคะ แต่พี่กั้งมาแบบค่อยๆ มา ช่วงแรกๆ เขาไม่ถือของให้ด้วยนะ (หัวเราะ) ค่อยๆ ทำมาเรื่อยๆ ก็เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ (หัวเราะ)”

กั้ง-สไมล์

เขาทำให้เรารู้สึกมั่นคงในความสัมพันธ์แบบนั้นใช่ไหม?

“ตลอดมา สไมล์ไม่เคยวางใจกับใครเลย เขาเป็นคนเดียวที่ทำให้เราไว้ใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรึกษาเรื่องงาน เพราะสไมล์ไม่เคยปรึกษาเรื่องงานกับใครเลย รู้สึกว่าเขาไม่น่าจะช่วยเราได้ แต่พี่กั้งคือคนแรกที่เราวางใจจะพูดกับเขาในทุกๆ เรื่องและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขา ด้วยความที่เขาเป็นพี่ เป็นคนค่อนข้างมีวุฒิภาวะ สไมล์เคยเชื่อว่าเรื่องของเรา ไม่มีใครตัดสินใจได้ดีกว่าเราเองหรอก แต่มันกลับมีหลายๆ เคสที่พี่เขาตัดสินใจได้ดีกว่าเราทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของเราเอง”

เรื่องความหวานล่ะ หวานขนาดไหน?

“ก็มีค่ะ แต่เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรหวือหวาใหญ่โต แต่สิ่งที่เขาทำ เช่น เขาผ่านร้านดอกไม้ร้านนึงเขาก็เอาดอกไม้ใส่โหลแก้วมาให้เก็บ เป็นดอกไม้ดอกเล็กๆ แต่เราชอบมากเลยนะ มีครั้งนึงงอนกัน เขาง้อสไมล์ด้วยโค้กกระป๋องเดียว แต่ดันเป็นโค้กที่มาตอนที่เรากระหายมาก พอเขาให้มาตอนนั้น คือ ตอบโจทย์ ก็ต้องยอม (หัวเราะ) ผู้ชายอะไรซื้อกระจังหน้ารถให้ อะไรอย่างเงี้ย หาไม่ง่ายนะแบบนี้ สไมล์รู้สึกว่ามันพอดี คือ เราไม่ได้ต้องการดอกไม้พันดอก หรือ พลุพันอัน เราต้องการแค่สิ่งที่เราต้องการในตอนนั้นแล้วเขาดันรู้ว่ามันคืออะไร”

เราล่ะ ทำอะไรหวานๆ ไหม?

“ไม่ได้ทำอะไรนะ ก็ถามเขาอยู่เหมือนกันว่า พี่มารักหนูทำไม (หัวเราะ) พี่มาชอบอะไรในตัวหนู เขาก็บอกว่าเขาชอบที่เราไม่ค่อยฟังเขาดี เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้ เราจะมีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างมากเขาชอบ งงมากเลย (หัวเราะ) แล้วเขาก็คงชอบในความติดดินของเราด้วยมั้งคะ”

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสไมล์ตอนนี้คืออะไร?

“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสไมล์ตอนนี้เหรอคะ คือ ความสุขค่ะ การมีเงินเยอะมันก็ดีนะ ทุกคนก็คงชอบที่มีเงินเยอะ แต่บางคนมีเงินมากแต่ก็ยังต้องทะเยอทะยานเพื่อให้ได้เงินมาเพิ่มอีกจนไม่มีความสุขในใจ แต่จริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าคนรวยจะมีแต่ความทุกข์อย่างที่บางคนเขาบอกเสมอไป มันอยู่ที่ใจมากกว่า สำหรับสไมล์สิ่งสำคัญคือข้างในใจเรา ถ้าเรายังมีความสุขกับตัวเองได้ คนข้างๆ เราก็จะได้รับความสุขไปด้วย เราจะไม่ส่งต่อพลังงานลบให้ใคร

สไมล์ ภาลฎา

สไมล์เชื่อว่าการที่เราส่งต่อพลังงานลบให้ใครสักคน คนคนนั้นก็จะส่งต่อพลังงานลบไปให้คนที่เขารักด้วย เช่นบางครั้งเราโดนคนที่เรารักตะคอกใส่มา แล้วเราไปเจอน้องสาวที่เราก็รักเขาเหมือนกันนะ เราก็อาจจะไปส่งต่อพลังงานลบให้เขาเหมือนกัน เวลาเราหงุดหงิดไม่รู้จะลงกับใครก็ไปลงกับคนที่รักเรามากที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากความสุขภายใน ถ้าเราไม่มีความสุขภายในมากพอ เราก็จะส่งต่อพลังงานลบๆ ให้คนที่เรารักด้วย ทุกวันนี้ก็ขอแค่มีความสุขเล็กๆ สุขง่ายๆ ในทุกๆ วันก็พอ”

สุดท้ายแล้วอยากฝากอะไรกับแฟนๆ เราบ้าง?

“ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะ สำหรับแฟนๆ ที่คอยติดตามและสนับสนุนสไมล์มาโดยตลอด ยังไงสไมล์ต้องขอฝากละครภูผาผีคุ้มด้วยนะคะ เรื่องนี้เหนื่อย หนักกันจริงๆ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง อยากได้เรทติ้งงามๆ มาประดับหัวใจ (หัวเราะ) ขอบคุณที่คอยเชียร์และอยู่ข้างๆ สไมล์มาเสมอ ยังให้โอกาสและทำให้เห็นว่ามีคนรอจะดูเราก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” สไมล์ทิ้งท้ายอ้อนๆ และขอบคุณแฟนๆ ของเธออย่างจริงใจ แบบนี้บอกเลยว่าแฟนๆ ให้ใจไปเต็มๆ แน่ๆ