“บอล วิทวัส” อดีตเด็กแสบ! สู่คุณพ่อลูกสองสุดแซ่บ มองไกลย้ายประเทศเพื่ออนาคตลูก

หากพูดถึงนักแสดงหนุ่มที่โด่งดังมากในยุค 2000 ต้องมีชื่อของหนุ่มหน้าใส บอล-วิทวัส สิงห์ลำพอง ที่พีคสุดๆ จากบทหนุ่มคลั่งรักในภาพยนตร์เรื่อง Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ส่งผลให้เขามีชื่อเสียง สาวกรี๊ดกันทั่วบ้านทั่วเมือง มีผลงานเรื่อยมาจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 15 ปี บอลก็ยังคงคร่ำหวอดอยู่ในงการบันเทิง

อย่างล่าสุดเจ้าตัวก็มากับบทบาทคุณหมอสุดหล่อแสนอบอุ่น “หมอนิกร” จากละคร “สูตรเล่ห์เสน่หา” ที่ตอนนี้ออนแอร์ทางช่อง 8 เข้มข้นอยู่ในโค้งสุดท้ายแล้ว งานนี้  เลยขอคว้าตัว บอล มาพูดคุยถึงผลงานชิ้นนี้ เปิดชีวิตนักแสดงตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมกับความฮอตขึ้นแท่นคุณพ่อสุดแซ่บ ปล่อยภาพเซ็กซี่กับภรรยาสาวคนสวยทำเอาแฟนๆ กดไลก์กันล้นหลาม และค้นใจคุณพ่อลูกสองว่ามีวิธีเลี้ยงลูก “น้องโนเบล” และ “น้องนิวตัน” ยังไงบ้าง

เป็นยังไงบ้างกับการทำงานในเรื่อง “สูตรเล่ห์เสน่หา” ?

“เรื่องนี้รับบทเป็น “หมอนิกร” แพทย์ทางเลือกที่เชี่ยวชาญการรักษาด้วยสมุนไพร ในเรื่องก็จะคอยให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร เวลาเข้าฉากบทพูดค่อนข้างเยอะ เพราะเราต้องพูดเรื่องสรรพคุณพืชผักสมุนไพรต่างๆ นอกจากตัวนิกรจะให้ความรู้เรื่องสมุนไพรแล้ว ยังมีเรื่องราวความรักที่รักกับน้านางเอก ซึ่งเป็นความรักที่หวานกันอยู่สองคนใครในเรื่องจะตบตีกันยังไงก็แล้วแต่เราหวานกันอยู่สองคนก็น่าสนใจครับ”

รับบทเเป็นแพทย์ทางเลือกทำการบ้านหนักไหม?

“ผมบอกตามตรงเลยว่าเรื่องสมุนไพรกับผมเนี้ย ไม่ถนัดเลย ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย (หัวเราะ) แต่การเป็นหมอเราก็ทำการบ้านจากการศึกษาจากคนที่เขาอยู่ในอาชีพนี้จริงๆ ดูจากยูทูปบ้าง สังเกตคนรอบข้างบ้าง ทั้งเรื่องบุคคลิกที่ต้องนิ่งกว่าตัวจริงพอสมควร วิธีการพูด จริงๆ เรื่องบุคลิกไม่ได้ยากอะไรครับ ที่กังวลก็มีเรื่องรายละเอียดสมุนไพรต่างๆ นี่แหละเพราะเราไม่เก่งเลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่จริงๆ ในบทเขาเขียนมาละเอียดอยู่แล้ว เราแค่ต้องมาอ่าน พยายามทำความเข้าใจกับมันให้ได้ และจะสื่อสารออกมายังไงให้มันถูกต้องเท่านั้นเองครับ”

ลุคในละครแฟนๆ บอกว่าเป็นลุคพระเอกเลย?

“ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ได้รับบทเรียบร้อย เพราะปกติถ้าได้บทเรียบร้อยก็คือจะเป็นเพศที่สามเลย จริงๆ ผมเล่นได้ทุกบทแหละ แต่สำหรับหมอนิกร ผมมองว่าเป็นบทที่ค่อนข้างท้าทายไปอีกแบบนึงครับ”

เห็นว่าเรื่องนี้นอกจากเบาสมองแล้วได้ความรู้ด้วย?

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนดูไม่ต้องคิดอะไรมากเลย นอกจากจะสอดแทรกสาระเอาไว้เยอะมากแล้ว ยังมีความคอมมาดี้ มีความดราม่า ที่ดูแล้วอาจจะไม่ดราม่าเลยก็ได้เพราะมันตลก เพราะฉะนั้นผมว่าเป็นละครที่ทุกคนสามารถปล่อยวางทุกอย่างเครียดๆ เอาไว้แล้วมายิ้มไปด้วยกัน เปลี่ยนมู้ดเปลี่ยนฟีลบ้างเพราะเราหนักกันมาเยอะแล้วครับ”

ตอนนี้กลับมาทำงานเต็มที่แล้วใช่ไหม?

“ตอนนี้กลับมาทำงานแล้วก็โคตรดีใจเลยครับ หลังจากที่เราจะใช้คำว่าพักดีไหม เพราะเราไม่ได้อยากพักไง (หัวเราะ) ก็หยุดกันไปนานเลย ตอนนี้กลับมาทำงานและมีงานพอสมควรเลย มีซีรีส์ 1 เรื่อง ละคร 1 เรื่อง แล้วก็เพิ่งปิดไป 1 เรื่อง รวมทั้งที่ออนอยู่คือ สูตรเล่ห์เสน่หานี่แหละครับ กลับมาก็แน่นเลย อยากให้แน่นแบบนี้ต่อไป (หัวเราะ)”

กว่า 2 ปี ที่ต้องหยุดไป ตอนนั้นทำอะไรบ้าง?

“ตอนนั้นก็มีได้ถ่ายบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่คือเคว้งมาก เพราะต้องบอกว่าอาชีพเราก็คืออาชีพรับจ้าง พอมีโควิดเราก็ไม่ได้ถูกจ้างงานก็เดือดร้อนพอสมควรเพราะเราหยุดงานแต่หนี้มันไม่ได้หยุดด้วย เราเองเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องแบกรับอะไรเยอะ ทำให้มีข่าวออกมาอย่างที่ทราบกันว่ามีความคิดที่จะย้ายประเทศครับ”

แล้วแพลนเรื่องย้ายประเทศยังอยู่ไหม?

“จริงๆ เป็นแผนที่เราวางเอาไว้อยู่แล้วครับ ผมจะพาลูกไปเรียนที่เยอรมัน แต่บังเอิญว่าด้วยสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นงานมันต้องหยุดแต่ค่างวดมันไม่หยุด (หัวเราะ)  ความเดือดร้อนมันยังมาอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเลยมีแพลนว่าเราจะทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้วไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ที่ต่างประเทศเลยดีไหมถ้าสถานการณ์ยังยืดเยื้อและไม่ดีขึ้นแบบนี้ ก็จะไปจริงๆ

บอล และครอบครัว

แต่พอดีว่ามันมีเรื่องของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผมทำกับภรรยา ปรากฏว่ามันดี กลายเป็นว่าสิ่งนี้มาพยุงเราไว้ในช่วงนั้น แล้วที่สำคัญ คือ มันดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้เรารู้สึกว่าแผนการที่เราจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ต่างประเทศเนี้ย เรานั่งคุยกันแล้วว่าเราจะไปอย่างสง่างามกว่าเดิมดีกว่า เราจะไม่เทเมืองไทยละ เราจะไปโดยการที่จะซื้อบ้านก่อน จะไปดูที่เรียนให้ลูก จะมีธุรกิจอะไรดีๆ สักอย่างหล่อเลี้ยงเราเพื่อไปอยู่ที่โน่นจะได้ไม่ลำบาก เริ่มต้นกันที่ปีหน้าผมวางแผนจะไปดูบ้าน ดูที่เรียน ดูความเหมาะสมลู่ทางธุรกิจว่าจะไปเริ่มยังไงครับ”

เรียกว่าได้ธุรกิจมากู้สถานการณ์?

“จริงๆ เราตั้งใจจะทำนานแล้วแต่เพิ่งมาได้ทำในจังหวะนี้ วางแผนกันมาเป็นปี แต่เพิ่งมาทำจริงจังได้แค่ 3 เดือน แล้วผลคือออกมาดี เราก็จับธุรกิจนี้เป็นหลักและจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ครับ”

ถ้าย้ายประเทศแล้วงานในวงการของเราล่ะ?

“เราคงย้ายไปภายใน 2-3 ปีนี้ ส่วนผมเองคงต้องไปๆ กลับๆ เพราะภรรยาและลูกเขาได้สัญชาติส่วนผมไม่ได้ตามเขา ต้องเรียนภาษาเยอรมันด้วยโคตรยากเลยครับแต่ก็ต้องทำให้ได้เพราะอยากให้ลูกเรียนที่นั่นจริงๆ ครอบครัวเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนเพื่ออนาคตของเขา 

ส่วนงานในวงการผมไม่อยากทิ้งเลย ผมพูดตรงๆ ว่ารักอาชีพนี้ แต่ด้วยแผนที่เราวางไว้เพื่อลูก ผมคงต้องไปๆ กลับๆ รับงานน้อยลงตามความเหมาะสมแต่พูดเต็มปากเลยว่าผมไม่ทิ้งอาชีพนี้เพราะผมรักอาชีพนี้มากครับ”

พูดถึงอาชีพนักแสดง เราอยู่กับอาชีพนี้มากี่ปีแล้ว?

“ถ้านับจากซีซั่นเชนจ์ก็ 15 ปี มาแล้ว แต่จริงๆ ผมเข้าวงการมาก่อนหน้านั้น มีแคสงานโฆษณามา รวมๆ น่าจะ 18 ปีละ แต่ยังมีความรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ทำอยู่เลย มีความุข สนุกทุกวันที่ได้ออกจากบ้านมาทำสิ่งที่เรารักตรงนี้ เพราะฉะนั้นถ้ายังมีโอกาสผมก็ยังทำอยู่”

ขอย้อนกลับไปตอนที่โด่งดังมากในช่วงวัยรุ่น ชีวิตช่วงนั้นเป็นยังไงบ้าง?

“ต้องบอกว่าการเข้าวงการของผมเริ่มมาจากการอยากได้เงิน เพราะตอนนั้นบ้านจน ที่บ้านค่อนข้างมีปัญหา เลยรู้สึกว่าอะไรที่ทำแล้วได้เงินเราก็ทำหมด บังเอิญว่าลูกพี่ลูกน้องเขาพาเข้ามาทางนี้ มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่วันนึงได้มาแคสหนังเรื่อง ซีซั่นเชนจ์ (Seasons Change) ตอนแรกคือ ศาลายาที่รัก ก็ไม่คิดว่าจะดังขนาดนั้น

บอล วิทวัส

ผมก็เป็นวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตธรรมดาคนนึง เป็นวัยรุ่น ที่เป็นวัยรุ่นจริงๆ ไม่ได้ถูกปลูกฝังมาเพื่อเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเรื่องราวอะไรเยอะแยะอย่างที่เคยเห็นกันแหละครับ ไม่อยากพูดเยอะ (หัวเราะ) เพราะผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ จนเป็นผมทุกวันนี้”

วงการสอนอะไรเด็กวัยรุ่นคนนั้นบ้าง?

“จากคนที่ไม่เคยคิดเรื่องอนาคตเลย แต่วันนี้ผมเป็นคุณพ่อลูกสองที่มีการวางแผนอนาคตไว้เยอะมาก ถ้าตัดกลับไป 15 ปีที่แล้ว ก็จะมีหลายๆ คนที่อยู่ข้างๆ เราแล้วเขาทำหน้างงๆ ว่า เห้ย! วันนี้มึงเป็นพ่อคนเหรอเนี้ย แล้วหลายคนก็ยังมองมาที่ผมและยังมีคำถามเหล่านี้ในใจอยู่ ซึ่งเราเองก็พยายามพิสูจน์หลายๆ อย่างว่าเราเปลี่ยนไปแล้วนะ วันนี้โตขึ้นกว่าวันนั้นเยอะ 

สิ่งที่มันสอนเราจริงๆ คือ การเข้าวงการบันเทิงมันง่ายครับเพราะทุกวันนี้โอกาสอยู่ในมือทุกคนแต่จะทำยังไงให้เราใช้ชีวิต ได้ทำงานอยู่ตรงนี้อย่างมีคุณภาพ และยังมีโอกาสวิ่งเข้าหาอยู่เรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของระเบียบวินัยการดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญครับ”

เราแสบขนาดนั้นเลยเหรอ?

“ให้คนอื่นพูดแล้วกันเรื่องนี้ (หัวเราะ) แต่ว่าในวันนั้นกับวันนี้เราไม่เหมือนเดิมแล้ว พัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากพอสมควร ก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ พยายามพัฒนาตัวเองในทุกวันที่ไปทำงานครับ”

จากที่บอกว่าที่บ้านมีปัญหาพอสมควรแล้วสามารถหาเงินไปช่วยที่บ้านได้ ใช้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม?

“ตอนนั้นด้วยความที่มันเป็นวัยรุ่นก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอนาคตเท่าไหร่ ได้เงินมาก็ซื้อ ก็จ่าย เปย์พ่อแม่ไปจนวันนึงมันก็มีวันหมดเหมือนกัน เพราะอย่างที่บอกมันเป็นอาชีพรับจ้าง มันก็มีบางช่วงที่ขาดหาย ช่วงตกต่ำก็มี ถามว่าเคยแสบจนเกือบปลิวไหม โห! ปลิวไปหลายรอบแล้ว หลายช่วงเหมือนกัน แต่ผมโชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่ยังมองเห็นศักยภาพ หลายคนพร้อมที่จะให้โอกาสเด็กแสบคนนี้ได้กลับมาทำงานครับ”

ตอนนี้ขึ้นแท่นคุณพ่อสุดแซ่บ ไอจีร้อนฉ่าไปแล้ว?

“(หัวเราะ) เหมือนอั้นมานาน คือ เริ่มจากภรรยาผมเขาลดน้ำหนักแล้วเขาดูดี มั่นใจขึ้น แล้วมีคำพูดนึงของคุณแม่ภรรยาผมเคยบอกเอาไว้ว่าคนเรามันมีชีวิตอยู่ในวันนี้แค่วันเดียวถ้าเราไม่ใช้มันวันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันนี้แล้ว ถ้าเรารู้สึกอยากจะทำ อยากจะโชว์ ก็ทำตอนนี้เลย เพราะถ้าแก่ตัวไปมันไม่น่าดูแล้วไงครับ

แต่ไม่ใช่ว่าเราจะโชว์แบบโป๊เปลือยเราทำในระดับที่มองว่าเป็นศิลปะแล้วเราเองเป็นสามี ภรรยา เราไม่ใช่แฟน แล้วบางรูปที่เราถ่ายลูกเป็นคนถ่ายให้ด้วยซ้ำ แล้วผมมองว่าไม่ใช่ภาพที่ล่อแหลม มันเป็นภาพที่คนเรารักกันเราจะส่งต่อความรักผ่านภาพมันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร มันอยู่ที่มุมมองของคนจริงๆ”

ความแซ่บของบอลและภรรยา

ตกใจกับฟีดแบ็คไหม?

“โอ้โห! ตอนแรกภรรยาเขาจะมีความเป็นฝรั่งหน่อยเขาจะมองว่าโชว์แบบนี้ไม่เป็นไรหรอก แต่ตัวผมจะมีความเป็นคนไทยก็แอบหวั่นๆ ว่าจะล่อแหลมไปไหม โพสต์ไปแล้วจะมีดราม่าไหม ก็กลัวดราม่าแต่ถ้าเราเชื่อว่ามันคือศิลปะ คนเสพก็จะเชื่อแบบนั้นด้วย แต่สุดท้ายก็โอเคครับ ฟีดแบ็คดีเลย”

มาถึงในมุมความเป็นพ่อบ้าง คุณพ่อบอล เป็นพ่อสไตล์ไหน?

“คือผมเป็นคนง่ายๆ ผมก็จะเลี้ยงลูกแบบง่ายๆ แต่ผมกับภรรยาค่อนข้างเป็นคนละฝั่ง ภรรยาผมบางมุมจะแบบว่าปล่อยเลยปล่อยไหล แต่กลับกันผมก็จะมีบางมุมที่ปล่อยไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วผมจะเป็นคนง่ายๆ ลูกอยากเล่นดิน เล่นอะไรสกปรกเล่นไปเลย แต่ภรรยาจะแบบ อันนั้น อันนี้ไม่ได้ต้องสะอาด แต่บางมุมถ้าอันตรายผมก็ไม่ให้เล่น แต่ภรรยาจะแบบเล่นไปเลย ชีวิตมันต้องมีสักครั้ง คือจะเป็นประมาณนี้น่ะครับ”

ทะเลาะกับภรรยาเรื่องการเลี้ยงลูกบ้างไหม?

“ตลอดเวลา (หัวเราะ) แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อมีเรื่องเห็นต่างมันจะมีบางมุมที่บางทีเราคิดไม่ถึง มีวิธีดีๆ มาใช้กับลูกเราได้”

ตั้งแต่มีลูกเราเปลี่ยนไปในแง่ไหนบ้าง?

“โห! จริงๆ เปลี่ยนตั้งแต่แต่งงานแล้วล่ะ จากเป็นคนที่ไม่เคยคิดเรื่องอนาคตเลย มีก็ใช้ ไม่มีก็ช่าง แต่วันที่เราแต่งงาน เราเริ่มมีคู่ชีวิตเข้ามาเราจะมองถึงอนาคตมากขึ้น มันเปลี่ยนไปเองโดยที่เราทันได้คิดด้วยซ้ำ พอถึงจุดนึงอย่างตอนนี้เราเห็นลูกโต 7 ขวบแล้ว คนเล็ก 6 ขวบ เราก็มานั่งมองตัวเองว่า ขออนุญาตใช้คำชาวบ้านนิดนึงนะครับว่า เห้ย! กูเป็นคุณพ่อลูกสองที่ลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอวะ แล้วมันมีโมเมนต์นี้บ่อยมากเลยว่าลูกโตแล้วเราต้องทำตัวยังไงนะ ถามตัวเองแต่ก็ไม่รู้จะตอบยังไง ก็ปล่อยไหลมาเรื่อยๆ

พยายามศึกษา บางทีหนังหลายๆ เรื่องมีเรื่องราวปัญหาของลูก ของวัยรุ่น ที่เราเอากลับมาคิดว่าถ้าลูกเราโตขนาดนี้แล้วถ้าเกิดปัญหานี้เราจะเอาวิธีแก้ปัญหาวิธีไหนมารับมือความแสบของลูก ซึ่งผมมั่นใจเลยว่ามันต้องแสบเหมือนพ่อมันแน่ๆ (หัวเราะ)”

ถ้าถามว่าการเป็นพ่อที่ดีสำหรับเราคืออะไร?

“เป็นตัวเองและเรียนรู้ครับ ผมไม่เคยสอนเรื่องนี้กับใครได้เลย มีคนมาถามผมเยอะมากซึ่งผมบอกไม่ได้หรอก มันไม่มีแพทเทิร์นตายตัวที่สามารถสอนกันได้ คุณต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับตัวคุณก่อนว่าคุณและลูกคุณเป็นยังไง เพราะแต่ละคนแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกันครับ

บอลและลูกๆ

อย่างผมกับภรรยายอมเหนื่อยเลี้ยงลูกกันเองเพราะเคยเจอเรื่องพี่เลี้ยงที่ไม่เวิร์คแต่ขออนุญาตไม่รีวิวแล้วกัน บอกได้แค่ว่าไม่โอเคจริงๆ เจอมาสารพัดรูปแบบ จนวันนี้ก็เลยรู้สึกว่าเลี้ยงลูกเองดีที่สุด เราได้ผูกพัน ได้รู้จักลูกเราเองจริงๆ ว่าเขาเป็นยังไงครับ”

 มีอะไรที่กังวลเกี่ยวกับลูกเป็นพิเศษไหม?

“จริงๆ กังวลหลายเรื่องครับ แต่เราเชื่อมั่นว่าลูกเราจะผ่านมันไปได้ อย่างเรื่องการศึกษาในสังคมปัจจุบ้นมันไปเร็วมาก ตอนเรียนออนไลน์เราจะเห็นเลยว่าเด็กบางคนในห้องเก่งมาก เข้า ป.1 บางคนพูดภาษาอังกษเป็นไฟเลย แต่ลูกเราพูดไม่ได้ อันนี้ต้องยอมรับว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ลูกเราอาจจะมีความเก่งในด้านอื่นมากกว่า แต่พอมันไม่ได้ปุ๊บมันจะถูกเปรียบเทียบ แต่ถ้าเรามองมันเป็นปัญหา มันก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นสิ่งที่เราจะต้องคอยให้กำลังใจลูกให้ผ่านมันไปให้ได้ คนเราเก่งไม่เหมือนกัน คนเราเก่งกันคนละด้าน แทนที่เราจะไปเคี่ยวเข็ญเขาว่าต้องทำอย่างงั้นอย่างงี้ให้ได้ อย่าดีกว่า เอาเวลาไปสังเกตลูกเราดีกว่าลูกเราเหมาะกับอะไรแล้วไปส่งเสริมเขาตรงนั้นดีกว่าครับ”

“ผมเคยเป็นพ่อที่กังวลเรื่องวิชาการมาก แต่ตอนนี้ผมปล่อยไหลเลย มาให้ความสำคัญกับเรื่องทักษะการใช้ชีวิตมากขึ้น ให้เขาลองทำสกิลที่หาไม่ได้ในโรงเรียน แล้วในอนาคตผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันอาจจะได้ใช้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเองเฝ้ามองเขาโดยที่ไม่ห้ามแต่คอยบอกเขาว่าอะไรดี อะไรที่อาจจะนำพาไปในทางที่ไม่เวิร์คได้ แล้วให้เขาเป็นคนเลือกเอง เพราะตอนเด็กๆ พ่อแม่เคยห้ามผมก็ทำทุกอย่างที่เขาห้ามครับ (หัวเราะ)”

วันนี้คุยกันเต็มอิ่มมาก อยากให้ฝากถึงแฟนๆ หน่อย?

“ก็ฝากสูตรเล่ห์สเน่หาด้วยครับ มาเก็บเกี่ยวความสนุก เก็บรอยยิ้มไปพร้อมๆ กัน เชื่อเหลือเกินว่าทุกคนที่ได้ดูจะต้องมีความสุขและได้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรด้วย และพูดถึงซีซั่นเชนจ์ก็มีซีรีส์เรื่องนึงที่ผมได้กลับมาร่วมงานกับคุณต่าย และคุณ นาถ เป็นซีรีส์เกี่ยวกับดนตรีด้วย ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 15 ปี กลับมาเก็บเกี่ยวความอบอุ่นของ ป้อม อ้อม ดาว กันได้รอติดตามได้เลย แล้วก็มีละคร คู่เวร ทางช่อง 3 ฝากติดตามชมกันด้วยครับ”